Sony A7R markII : เปิดตัวอย่างเป็นทางการที่สิงคโปร์!

 

อีกหนึ่งขุนพลจากกองทัพสีส้มที่จะลงประลองยุทธ์ในศึกอภิมหาเมกาพิกเซล ลงสนามด้วยความละเอียด 42.MP! แต่เดี๋ยวก่อนเค้ามีดียิ่งกว่าความละเอียดด้วยนะ

1_Main_Image

ผมได้รับคำชวนจากบริษัท โซนี่ (ไทย) จำกัด ให้เดินทางไปร่วมงานเปิดตัว “A7R markII” ที่ประเทศสิงคโปร์เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาพร้อมกับทัพสื่อมวลชนอีกหลายท่าน งานนี้เป็นการเปิดตัวในระดับภูมิภาคที่ทุกประเทศเข้าร่วมกันอย่างคับคั่ง ทั้งไทย, เวียตนาม,มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, อินโดนีเซีย และแน่นอนว่าสิงคโปร์เองด้วย

2

บรรยากาศงานก็ดูทั่วไปไม่น่าตื่นเต้นตะลึงแลอะไรมากมายนัก แต่ที่ทำให้ถึงกับขนลุกก็คือภาพตัวอย่างที่พิมพ์ติดโชว์เป็น Gallery ซึ่งเผยกันให้เห็นตรงประตูทางเข้า ชนิดที่เห็นปุ๊บเป็นต้องหยุดดูเลยทีเดียว

2_2

2_3

2_4

จากนั้นทีมผู้บริหารก็ขึ้นพูดบรรยายถึงเรื่องการตลาดและเรื่องราวของกล้องทั้งสามรุ่นคือ A7R markII, RX10 markII และ RX100 markIV ตามสไตล์งานเปิดตัวทั่วไป พร้อมทั้งมีภาพตัวอย่างให้ได้ชมกัน จากนั้นก็เปิดตัวช่างภาพมืออาชีพอย่างเป็นทางการของ A7R markII พร้อมผลงานภาพถ่ายจากกล้องรุ่นนี้ แน่นอนครับว่าต้องมีช่างภาพระดับอาจารย์จากเมืองไทยด้วย นั่นก็คือ เกรียงไกร ไวยกิจที่หลายท่านรู้จักฝีมือและผลงานกันดี

4

5

น่าตื่นเต้นเข้าไปใหญ่ก็คือ งานนี้มีการ Live Shoot ให้เห็นกันจะๆ ด้วย A7R markII ด้วยเพื่อแสดงประสิทธิภาพให้ได้ชมกัน ที่เรียกเสียงฮือฮาจากผู้ชมได้เป็นอย่างมากก็ตอนที่ระบบออโต้โฟกัสทำการจับโฟกัสแบบต่อเนื่อง (AF-C) ไปยังใบหน้านางแบบที่อยู่ไม่นิ่งโดยมีการเคลื่อนไหวตลอดเวลาโดยใช้ระบบ Face Detection เข้าร่วม เซนเซอร์ออโตโฟกัสบางส่วนจากทั้งหมดสามร้อยกว่าจุดมากระพริบวิบวาบอยู่บนใบหน้านางแบบ แล้วช่างภาพก็กดแช๊ะ! เข้าให้ด้วยความเร็ว 1/200 sec. จากนั้นก็โชว์ภาพสดๆ พร้อมซูมครอปอย่างอหังการเข้าไปที่ดวงตา ปรากฏว่าคมชัดแบบเป๊ะเว่อร์!

ช่วงต่อมาก็คือการเปิดให้ผู้เข้าร่วมงานได้ทำการทดสอบกับกล้องและอุปกรณ์ตัวจริงเสียงจริง ผมเองก็ได้ทดลองดูแล้วก็ปรากฏว่ามันทำผลงานได้ยอดเยี่ยมมาก ชัดเป็นชัด คมเป็นคม น่าทึ่งทีเดียวเลยล่ะครับ

6

เมื่อได้เข้าพูดคุยกับทางวิศวกรผู้พัฒนากล้องรุ่นนี้จึงได้รู้ว่าทางโซนี่เองไม่เพียงแต่ให้ความสำคัญกับเซนเซอร์รับภาพความละเอียดสูงตัวใหม่นี้เท่านั้น แต่พยายามศึกษาถึงอุปสรรคที่จะเป็นปัญหาสำหรับความละเอียดสูงๆ เช่นนี้ด้วย ซึ่งเค้าก็ได้แก้กันออกมาในหลายขั้นตอนและวีธีการเลยทีเดียว

ปัจจัยหลักอย่างเซนเซอร์รับภาพรุ่นใหม่ความละเอียด 42.4MP นั้นเป็นเซนเซอร์รับภาพแบบ “EXMOR R” ขนาด Full Frame ตัวแรกของโลก ซึ่งมันเป็นระบบ “BSI” (Back-side Illuminate) ที่กลับเอา Photodiode มาอยู่ด้านบนแล้ววางชุดวงจรไปอยู่ด้านล่างแทน ผลที่ได้ก็คือมีปริมาณแสงที่มากขึ้น พูดง่ายๆ ก็คือมันช่วยให้ Photodiode เห็นแสงชัดเจนมากขึ้นกว่าเดิมนั่นเอง

7

ความไวแสงของเซนเซอร์ตัวนี้พุ่งไปถึง ISO102400 นู่นเลยครับ และมันยังส่งข้อมูลได้เร็วกว่า A7 markII ถึง 3.5 เท่าด้วย ก็ควรล่ะนะเพราะข้อมูลมันจะต้องมหาศาลมากแน่ๆ อันนี้ควรต้องปรบมือให้เลยทีเดียว

ต่อมา ทางทีมวิศวกรได้ทดสอบในช่วงแรกก็พบว่าความละเอียดคมชัดของเจ้า A7R markII นี้ไม่ได้ต่างไปจากกล้องรุ่นเดิมเลย ลองไปลองมาก็พบว่าปัจจัยสำคัญของเรื่องนี้เกิดจากแรงสั่นสะเทือนของชุดม่านชัตเตอร์เองนั่นแหละ จึงต้องทำการออกแบบกลไกของระบบม่านชัตเตอร์เสียใหม่โดยให้มีชุดช่วยดูดซับแรงสั่นสะเทือนที่ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม ผลก็คือลดการสั่นสะเทือนลงได้มาก ส่งผลให้ได้ภาพที่คมชัดมากยิ่งขึ้นด้วย

นอกจากนี้ ระบบช่วยลดอาการสั่นไหวแบบ 5 แกนบนชุดเซนเซอร์รับภาพก็ยังเป็นอีกส่วนสำคัญที่ช่วยให้ภาพถ่ายคมชัดกันเห็นๆ แม้จะถ่ายภาพด้วยมือเปล่า ซึ่งในทางกลไกแล้วมันก็เป็นระบบเดิมแบบเดียวกับในกล้องรุ่นเดิมนั่นแหละ แต่ที่สำคัญคือเค้ามีการเขียน Algorithm (ชุดคำสั่งประมวลผล) ขึ้นมาใหม่สำหรับกล้องรุ่นนี้โดยเฉพาะ มันก็เลยยิ่งคมชัดเข้าไปกันใหญ่เลยทีเดียว

เท่านั้นยังไม่พอครับคุณผู้ชม ทางโซนี่ยังประกาศเสียงดังฟังชัดด้วยว่า เลนส์ “FE” ทุกรุ่นที่ออกวางตลาดนั้นสามารถถ่ายทอดประสิทธิภาพแสงได้สบายมากสำหรับเซนเซอร์รับภาพ 42.4MP ซึ่งอันที่จริงแล้วก็เผื่อไปถึงระดับ70-80MP นู่นเลยทีเดียว

ซึ่งมันก็เพราะปัจจัยเหล่านี้นี่แหละครับที่ทำให้ A7R markII เป็นกล้องอภิมหาเมกาพิกเซลที่น่าเกรงขามยิ่งนัก มือโปรใช้ได้มือใหม่ใช้ดี ไฟล์ภาพใหญ่ขนาดนี้ถ่ายภาพแล้วนำไปพิมพ์แปะข้างฝาบ้านแทนวอลล์เปเปอร์กันได้สบายเลยทีเดียว

นอกจากคุณสมบัติทางด้านภาพนิ่งแล้วก็ยังมีเรื่องของ VDO ที่บันทึกได้ถึงระดับ 4K อีกต่างหาก แหม่นี่ถ้าใส่ Super Slow Motion แบบ RX100markIV ลงมาด้วยละก็ เอากระเป๋าตังค์ไปเลยดีกว่า!

ในด้านของตัวกล้องภายนอกนั้นก็แทบไม่มีอะไรต่างไปจาก A7 markII รุ่นก่อนหน้านี้เลยครับ มีเพียงโลโก้สองจุดเท่านั้นที่ต่างออกไป ช่องมองภาพถูกทำให้ดีขึ้นอีกนิดนึงด้วยการเคลือบผิวเกรด T* จาก Zeiss และชุดยางรองตาที่ดีมากขึ้น และน้ำหนักเพิ่มขึ้นอีกนิดหน่อยด้วย

9

เสียดายครับที่งานนี้เราไม่สามารถใส่การ์ดเข้าไปในกล้องได้เพราะปัจจัยบางประการ ก็เลยไม่ได้มีภาพที่ถ่ายเองมาให้ดู แต่ก็คงอีกไม่นานที่ไฟล์ภาพตัวอย่างอันน่าตื่นตะลึงของกล้องรุ่นนี้จะเปิดให้เราได้โหลดมาพิสูจน์กันด้วยตาตัวเอง และเมื่อโอกาสมาถึงผมก็จะนำเสนอภาพจากการใช้งานจริงกันต่อไป

โปรดคอยติดตามชม!

ปิยะฉัตร แกหลง

สิงหาคม 2558

 

Comments

comments

You may also like...